วันที่: 31 ธ.ค. 59 เวลา: 15:55 น.
31 ธ.ค. นางพะเยาว์ อัคฮาด หนึ่งในแกนนำกลุ่มญาติวีรชนปี 2553 โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊กเล่าเรื่องประสบการณ์และปัญหาการใช้สิทธิรักษาพยาบาลของมารดาตน โดยระบุว่า “คุณแม่ดิฉันต้องเข้ารับการผ่าตัด 2ครั้ง เมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่โรงพยาบาลสิรินธร ด้วยอาการเนื้องอกในสมองและเนื้องอกนั้นก็เป็นมะเร็ง ก่อนจะมาถึงจุดนี้ คุณแม่ดิฉันมีอาการร่างกายด้านซ้ายอ่อนแรงจึงได้พาคุณแม่เข้ารักษากับคลินิคเอกชนที่หนึ่งที่ สปสช. ให้การรับรองคุณภาพตามพื้นที่สิทธิที่ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการรักษาที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง ซ้ำร้ายยังไม่ยอมส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลจนทำให้อาการหนักขึ้น ดิฉันจึงต้องพาคุณแม่ไปเอง ในตอนนี้ 1เดือนกว่าๆ คุณแม่ดิฉันยังคงนอนอยู่ห้อง icu กับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ดิฉันได้ทำเรื่องร้องเรียนกับทางสปสช.ให้มีการตรวจสอบมาตรฐานของคลินิคนั้นแล้ว แต่เรื่องยังอยู่ในขั้นพิจารณาของคณะกรรมการสปสช. และทางสปสช.ก็ยังให้ทำเรื่องเพื่อขอรับเงินชดเชยตาม มาตรา 41. แห่งพรบ.หลักประกันสุขภาพ ก็ยังคงอยู่ในขั้นพิจารณาของทางคณะกรรมการเช่นกัน ”
นางพะเยาว์ ยังระบุอีกว่า “ในส่วนของคลินิคคู่กรณีนั้น ยังไม่ได้มีการแสดงตัวรับผิดชอบแต่อย่างใด ในวันนี้ ดิฉันได้ไปเยี่ยมคุณแม่ที่โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลได้แจ้งค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด 3หมื่นกว่าบาท ซึ่งทางโรงพยาบาลและทางสปสช.ก็ได้บอกกับดิฉันว่า ที่ค่าใช้จ่ายเยอะขนาดนี้ เพราะยาหลายๆตัวที่เคยเป็นยาอยู่ในบัญชี ก็ออกมาอยู่นอกบัญชี การรักษาทางเทคนิคหลายอย่างจากที่เคยใช้ได้ใน30บาท ในตอนนี้ก็ใช้ไม่ได้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง”
และว่า ” ทั้งๆที่ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดจากการวินิจฉัยที่ผิดพลาดของแพทย์ที่รับรองมาตรฐานของสปสช. ดิฉันต้องออกค่าใช้จ่ายเองเกือบทั้งหมด และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ทางโรงพยาบาลได้แจ้งให้ทางดิฉันเตรียมอุปกรณ์ต่างๆที่ต้องใช้ในการดูแลคุณแม่ที่บ้าน ดังนี้ 1. เตียงผู้ป่วย (ซึ่งคุณแม่ไม่สามารถขับถ่ายเองได้เลยต้องใช้เตียงเฉพาะ ราคา4หมื่นขึ้น) 2. เครื่องดูดเสมหะ (เนื่องจากคุณแม่มีอาการลิ้นตกจึงต้องเจาะคอเพื่อช่วยในการหายใจจึงต้องใช้ ราคา1หมื่นนิดๆ) 3.ถังอ๊อกซิเจนและเครื่องช่วยหายใจ ( ในบางครั้งคุณแม่มีอาการหอบเหนื่อยหายใจเองไม่ทัน จึงต้องมีไว้ใช้เพื่อช่วยในการหายใจ ราคา 5พันนิดๆ ) รวมๆแล้วค่าใช้จ่ายในการรักษาร่วมแสนบาท ญาติต้องรับภาระเองทั้งหมดทั้งๆที่เกิดจากการวินิจฉัยที่ผิดพลาดของแพทย์ที่ได้การรับรองคุณภาพ ทั้งนี้ทั้งนั้น ดิฉันจึงอยากฝากบอกประชาชนทุกท่านว่า ท่านไม่สามารถเดินยิ้มร่าเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวโดยหวังเพิ่ง 30 บาทได้อีกต่อไปแล้วภายใต้รัฐบาลชุดนี้ 30 บาท ของหมอสงวน ถูกตัดทอนไปจนแทบจะไม่เหลืออะไรอีกแล้วเช่นเดียวกับสิทธิประโยชน์ของพวกเราประชาชนคนไทย หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่นานค่ะ เราอาจจะกลับมาในยุคที่ต้องขายบ้าน ขายรถ ขายที่นาเพื่อมารักษาคนที่ท่านรักหรือรักษาตัวท่านเอง …. ” ปีใหม่ที่ไร้….ความสุข ”
http://www.matichon.co.th/news/412632

30บาท ยุคคนดี พ่นพิษ! จ่ายเงินรักษาแม่ตัวเอง ต้องร่วมจ่ายกว่า 3หมื่นบาท
31 ธ.ค. นางพะเยาว์ อัคฮาด หนึ่งในแกนนำกลุ่มญาติวีรชนปี 2553 โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊กเล่าเรื่องประสบการณ์และปัญหาการใช้สิทธิรักษาพยาบาลของมารดาตน โดยระบุว่า “คุณแม่ดิฉันต้องเข้ารับการผ่าตัด 2ครั้ง เมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่โรงพยาบาลสิรินธร ด้วยอาการเนื้องอกในสมองและเนื้องอกนั้นก็เป็นมะเร็ง ก่อนจะมาถึงจุดนี้ คุณแม่ดิฉันมีอาการร่างกายด้านซ้ายอ่อนแรงจึงได้พาคุณแม่เข้ารักษากับคลินิคเอกชนที่หนึ่งที่ สปสช. ให้การรับรองคุณภาพตามพื้นที่สิทธิที่ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการรักษาที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง ซ้ำร้ายยังไม่ยอมส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลจนทำให้อาการหนักขึ้น ดิฉันจึงต้องพาคุณแม่ไปเอง ในตอนนี้ 1เดือนกว่าๆ คุณแม่ดิฉันยังคงนอนอยู่ห้อง icu กับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ดิฉันได้ทำเรื่องร้องเรียนกับทางสปสช.ให้มีการตรวจสอบมาตรฐานของคลินิคนั้นแล้ว แต่เรื่องยังอยู่ในขั้นพิจารณาของคณะกรรมการสปสช. และทางสปสช.ก็ยังให้ทำเรื่องเพื่อขอรับเงินชดเชยตาม มาตรา 41. แห่งพรบ.หลักประกันสุขภาพ ก็ยังคงอยู่ในขั้นพิจารณาของทางคณะกรรมการเช่นกัน ”
นางพะเยาว์ ยังระบุอีกว่า “ในส่วนของคลินิคคู่กรณีนั้น ยังไม่ได้มีการแสดงตัวรับผิดชอบแต่อย่างใด ในวันนี้ ดิฉันได้ไปเยี่ยมคุณแม่ที่โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลได้แจ้งค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด 3หมื่นกว่าบาท ซึ่งทางโรงพยาบาลและทางสปสช.ก็ได้บอกกับดิฉันว่า ที่ค่าใช้จ่ายเยอะขนาดนี้ เพราะยาหลายๆตัวที่เคยเป็นยาอยู่ในบัญชี ก็ออกมาอยู่นอกบัญชี การรักษาทางเทคนิคหลายอย่างจากที่เคยใช้ได้ใน30บาท ในตอนนี้ก็ใช้ไม่ได้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง”
และว่า ” ทั้งๆที่ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดจากการวินิจฉัยที่ผิดพลาดของแพทย์ที่รับรองมาตรฐานของสปสช. ดิฉันต้องออกค่าใช้จ่ายเองเกือบทั้งหมด และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ทางโรงพยาบาลได้แจ้งให้ทางดิฉันเตรียมอุปกรณ์ต่างๆที่ต้องใช้ในการดูแลคุณแม่ที่บ้าน ดังนี้ 1. เตียงผู้ป่วย (ซึ่งคุณแม่ไม่สามารถขับถ่ายเองได้เลยต้องใช้เตียงเฉพาะ ราคา4หมื่นขึ้น) 2. เครื่องดูดเสมหะ (เนื่องจากคุณแม่มีอาการลิ้นตกจึงต้องเจาะคอเพื่อช่วยในการหายใจจึงต้องใช้ ราคา1หมื่นนิดๆ) 3.ถังอ๊อกซิเจนและเครื่องช่วยหายใจ ( ในบางครั้งคุณแม่มีอาการหอบเหนื่อยหายใจเองไม่ทัน จึงต้องมีไว้ใช้เพื่อช่วยในการหายใจ ราคา 5พันนิดๆ ) รวมๆแล้วค่าใช้จ่ายในการรักษาร่วมแสนบาท ญาติต้องรับภาระเองทั้งหมดทั้งๆที่เกิดจากการวินิจฉัยที่ผิดพลาดของแพทย์ที่ได้การรับรองคุณภาพ ทั้งนี้ทั้งนั้น ดิฉันจึงอยากฝากบอกประชาชนทุกท่านว่า ท่านไม่สามารถเดินยิ้มร่าเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวโดยหวังเพิ่ง 30 บาทได้อีกต่อไปแล้วภายใต้รัฐบาลชุดนี้ 30 บาท ของหมอสงวน ถูกตัดทอนไปจนแทบจะไม่เหลืออะไรอีกแล้วเช่นเดียวกับสิทธิประโยชน์ของพวกเราประชาชนคนไทย หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่นานค่ะ เราอาจจะกลับมาในยุคที่ต้องขายบ้าน ขายรถ ขายที่นาเพื่อมารักษาคนที่ท่านรักหรือรักษาตัวท่านเอง …. ” ปีใหม่ที่ไร้….ความสุข ”
http://www.matichon.co.th/news/412632